วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ภาคเหนือ

              ภาคเหนือ หรือล้านนา ดินแดนแห่งความหลากหลายทางประเพณีและวัฒนธรรมที่มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าภาคอื่นของไทย เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มนต์ขลัง ชวนให้น่าขึ้นไปสัมผัสความงดงามเหล่านี้ยิ่งนัก

ภาคเหนือมีทั้งสิ้น 17 จังหวัด ดังนี้

    1. จังหวัดเชียงราย 

    2. จังหวัดเชียงใหม่

    3. จังหวัดน่าน

    4. จังหวัดพะเยา

    5. จังหวัดแพร่

    6. จังหวัดแม่ฮ่องสอน

    7. จังหวัดลำปาง

    8. จังหวัดลำพูน

    9. จังหวัดอุตรดิตถ์

    10. จังหวัดตาก

    11. จังหวัดพิษณุโลก

    12. จังหวัดสุโขทัย

    13. จังหวัดเพชรบูรณ์

    14. จังหวัดพิจิตร

    15. จังหวัดกำแพงเพชร 

    16. จังหวัดนครสวรรค์

    17. จังหวัดอุทัยธานี



***********************
บรรณานุกรม

สมชัย ใจดี,บรรยง ศรีวิริยาภรณ์,(2006),ประเพณีและวัฒนธรรมไทย,พิมพ์ครั้งที่1(2006),ไทยวัฒนาพานิช บจก.สนพ.



ประเพณีภาคเหนือ

แห่พระธาตุช่อแฮ (จังหวัด แพร่)

    ประวัติความเป็นมา
                   ตำนานเก่าแก่แห่งเมืองมนต์ขลังเล่าว่า  อดีตกาล  พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงดอยโกสิยธชัคคะบรรพตและได้มอบพระเกศาธาตุให้ขุนลั๊วอ้ายก้อมไปบรรจุในผอบแก้วแล้วนำไปไว้ในถ้ำด้านตะวันออกของดอยที่ประทับ  ซึ่งผ้าแพรที่ขุนลั๊วอ้ายก้อมนำมารองรับพระเกศาธาตุนั้นเรียกว่า “ผ้าแฮ”  นิยมนำผ้าแฮ หรือผ้าแพรมาประดิษฐ์เป็นช่อ  หรือธง  แล้วทำการถวายสักการะเป็นพุทธบูชา  ต่อมาภายหลังเพี้ยนมาเป็น  “ช่อแฮ่”  หรือ  “ช่อแพร่”  โดยครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงมีรับสั่งว่า  ต่อไปเมืองนี้จะชื่อเมืองแพร่  และหลังจากที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว  ให้นำพระธาตุข้อศอกข้างซ้ายมาประดิษฐ์ที่นี่ด้วย  และหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ๒๑๘ ปี  พระเจ้าอโศกมหาราชและพระอรหันต์จำนวนมากได้ร่วมกันอธิษฐานอันเชิญพระบรมสารีกริกธาตุที่ได้บรรจุในผอบแก้วที่เตรียมไว้นั้นไปสถิตในสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงหมายไว้แต่เดิม  แล้วประกาศแก่เทวดาทั้งหลายให้พิทักษ์รักษาตลอดไป  จนกว่าจะหมดอายุแห่งพระพุทธศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสา
                         จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  ระบุว่า  ในสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท)  ครั้งทรงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชเมืองศรีสัชชนาลัย  ได้เสด็จยกทัพแปรพระราชฐานมาทำการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุช่อแฮเสร็จแล้ว  ทรงให้มีงานฉลองสมโภช ๗ วัน ๗ คืน  ตั้งแต่วันขึ้น ๙-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้  และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  เจ้าผู้ครองนครแพร่ทุกพระองค์ก็ได้ยึดถือประเพณีไหว้พระธาตุประจำปีสืบม
     


   
 เริ่มต้นและพิธีกรรม
                           เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖  ในสมัยของเจ้าหลวงพิริยะชัยเทพวงศ์  ได้ลดการจัดงานเหลือ ๕ วัน ๕ คืน  คือวันขึ้น ๑๑-๑๕ ค่ำ เดือน๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้ ของทุกปี  ภายในงานประกอบด้วยขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ประกอบไปด้วย  ริ้วขบวนของทุกอำเภอ  ขบวนช้างเจ้าหลวง  และเครื่องบรรณาการ  ขบวนแห่กังสดาล  ขบวนแห่หมากเป็ง  ขบวนต้นผึ้ง  ขบวนแห่ผ้าแพรคลุมองค์พระธาตุ ๑๒ สี  ซึ่งประกอบด้วยขบวน ๑๒ ราศี  ขบวนเทพีโปรยข้าวตอกดอกไม้  ต้นหมาก  ต้นผึ้ง  ด้นดอก  ขบวนตุง  ขบวนฟ้อนรำ  มีการเทศน์และฟังเทศน์มหาชาติ  มหาเวสสันดรชาดก  ทั้งกลางวันและกลางคืน  สำหรับกลางคืนมีมหรสพสมโภชตลอดงาน
                             ปัจจุบันประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ  เมืองแพร่แห่ตุงหลวงนอกจากจะมีขบวนแห่ที่อลังการตามแบบอย่างในอดีตแล้วภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นอีกมากมาย เช่น  กิจกรรมการสาธิตการทำตุง  โคม  เครื่องสักการะล้านนา  การประกวดหนูน้อยช่อแฮ  รวมทั้งการออกร้านและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม  ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจและน่ามาสัมผัสความอลังการด้วยตนเองทั้งสิ้น
          –   วันเวลาการจัดงาน : วันขึ้น ๙-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหนือ เดือน ๔ ใต้  ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปี
          –   สถานที่จัดงาน : วัดพระธาตุช่อแฮ  ห่างจากตัวเมืองแพร่ไปตามถนนช่อแฮ  ประมาณ ๙ กิโลเมตร  (เส้นทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๒)

********************
ประเพณี ใส่ขันดอก (จังหวัด เชียงใหม่)


ช่วงเวลา ระหว่างแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ (เดือน ๙ จันทรคติภาคกลาง) ถึง ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน๙ เหนือ ณ วิหารจตุรมุข วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ความสำคัญ

เป็นประเพณีบูชาเสาหลักเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อว่าเสาอินทขิล เสาหลักเมืองเดิมมีมาตั้งแต่เมื่อครั้งสร้างเมืองเชียงใหม่ และประดิษฐานที่วัดสะดือเมือง ต่อมาได้เสื่อมสภาพไป พระยากาวิละซึ่งได้ฟื้นฟูประเพณีอินทขิลขึ้นใหม่ จึงได้สร้างและย้ายมาประดิษฐานไว้ ณ วัดสวนดอกจนถึงปัจจุบันนี้ ชาวเชียงใหม่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอย่างหนึ่ง

พิธีกรรม

เริ่มด้วยพ่อหมอพฤฒาจารย์กระทำพิธีบูชาครู สักการะวิญญาณบรรพบุรุษ อารักษ์ และผีเจ้านายทั้งหลาย เทศบาลนครเชียงใหม่จัดขบวนแห่พระพุทธรูปฝนแสนห่าไปรอบเมืองให้ประชาชนสรงน้ำ ที่บริเวณวัดมีขันบูชาเสาอินทขิลสำหรับให้ประชาชนนำดอกไม้ไปบูชา (เรียกว่า ใส่ขันดอก) 

*****************

ประเพณีสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย (จังหวัด ลำพูน)

ช่วงเวลา



จัดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (เดือน ๘ เหนือ) ชาวบ้านเรียกว่า ประเพณีแปดเป็ง 

ความสำคัญ


ประเพณีสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัยจัดขึ้นทุกปี เพราะถือว่าพระธาตุหริภุญชัยเป็นพระธาตุเจดีย์ที่สำคัญหนึ่งในแปดพระธาตุเจดีย์ของประเทศไทย น้ำที่นำมาสรงองค์พระธาตุนั้นเป็นน้ำสรงพระราชทาน น้ำทิพย์จากดอยขะม้อ และน้ำสรงของประชาชน

วัตถุประสงค์ของประเพณีสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย มีดังนี้
๑. เพื่อเป็นการสักการะพระบรมธาตุ ซึ่งเป็นปูชนียสถานอันเก่าแก่ และนับเป็นโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดลำพูนและชาวพุทธทั่วไป
๒. เพื่อสักการะพระบรมอัฐิธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการบูชาเสาหลักเมือง เพราะชาวลำพูนถือว่า เจดีย์พระธาตุหริภุญชัยเป็นเสาหลักเมือง เมื่อสรงน้ำพระบรมธาตุหริภุญชัยจึงได้ทำบุญเสาหลักเมืองลำพูนด้วย

พิธีกรรม


ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ จะมีพิธีฝังเสาสำหรับผูกเชือกดึงหม้อน้ำสรง ชาวบ้านเรียกว่า เสาก๊างน้ำ ในวันนี้ฝนมักจะตก ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า หลังจากฝังเสาก๊างน้ำแล้ว เทวดาจะต้องสรงน้ำพระธาตุก่อนใคร เมื่อเสร็จงานเรียบร้อยแล้ว เสาก๊างน้ำจะถอดเก็บรักษาไว้

ตอนบ่ายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ราว ๑๓.๐๐ น. ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยข้าราชการ นักเรียน นักศึกษาประชาชน ร่วมขบวนแห่นำน้ำสรงพระราชทาน พร้อมเครื่องสักการะบูชาและน้ำทิพย์ดอยขะม้อ ไปยังวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร แล้วทำพิธีถวายสักการะ โดยคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ มีเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นประธานนำสวดถวายอดิเรก หลังจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน จะทำพิธีสรงน้ำพระธาตุโดยสรงน้ำพระราชทานก่อน ต่อจากนั้นประชาชนจึงเข้าสรงน้ำ เมื่อน้ำสรงเมื่อเต็มหม้อแล้ว ประชาชนจะช่วยกันดึงเชือกให้หม้อน้ำสรงเลื่อนขึ้นไปยังองค์พระธาตุ ซึ่งบนองค์พระธาตุ มีชายแต่งตัวชุดขาวคล้ายพราหมณ์ประมาณ ๕-๖ คน คอยรับน้ำสรง เพื่อนำไปสรงรอบๆองค์พระธาตุ ประชาชนจะสรงน้ำกันอย่างไม่ขาดสายจนถึงเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. เป็นอันเสร็จพิธี





**************************

ประเพณีเกี่ยวกับพุทธศาสนา ภาคเหนือ



ประเพณี นบพระ-เล่นเพลง(จังหวัด กำแพงเพชร)



ความเป็นมา

                       ประเพณีนบพระเล่นเพลง เป็นประเพณีที่สืบทอดมาจากสุโขทัย ซึ่งได้กล่าวถึงว่า ในสมัยพญาลิไทได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากลังกามาบรรจุไว้ที่องค์พระเจดีย์ วัดพระบรมธาตุ ตำบลนครชุม ดังนั้นจึงได้มีการจัดขบวนของเจ้าผู้ครองนครไปนมัสการพระบรมธาตุ



        พิธีกรรม

จังหวัดกำแพงเพชรได้ฟื้นฟูประเพณีนบพระเล่นเพลงขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยการจัดขบวนแห่พยุหยาตราจำลองไป นบพระ และเวียนเทียนพระบรมธาตุเจดีย์ และได้มีการแสดงการละเล่น เล่นเพลง กันเป็นที่เอิกเกริก รวมทั้งจัดให้มีการแสดงแสงสีเสียงถึงประวัติความเป็นมาของการตั้งบ้านแปงเมือง นอกจากนี้ยังได้มีการออกร้านแสดงสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น
                       การจัดงานนบพระเล่นเพลง ถือเป็นงานประจำปีของจังหวัดกำแพงเพชร เป็นการ ฟื้นฟูและเผยแพร่ประเพณีดั้งเดิมที่ถ่ายทอดให้กับคนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นตน



**************************


ประเพณีเวียนเทียนกลางน้ำ (วัดติโลกอาราม จังหวัดพะเยา)

         ความเป็นมา


                         วัดติโลกอาราม เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่จมอยู่ในกว๊านพะเยา เป็นวัดที่พระเจ้าติโลกราชแห่งราชอาณาจักรล้านนา โปรดให้พระยายุทธิษถิระ เจ้าเมืองพะเยา สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. ๒๐๑๙ – ๒๐๒๙ ในบริเวณที่เรียกว่า บวกสี่แจ้ง วัดแห่งนี้เป็นชื่อวัดที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึก ซึ่งถูกค้นพบได้ในวัดร้างกลางกว๊านพะเยา หรือในบริเวณหนองเต่า จากข้อความที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึก ทำให้รู้ว่าวัดนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า ๕๐๐ ปี สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นวัดที่มีผู้ปกครองเมืองพะเยาได้สร้างถวายเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแก่พระเจ้าติโลกราช ในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรล้านนา



พิธีกรรม

ประเพณีเวียนเทียนที่วัดติโลกอาราม มีความแตกต่างจากการเวียนเทียนในวัดอื่นๆ คือ วัดติโลกอารามจะเวียนเทียนโดยการนั่งเรือเวียนเทียนรอบวัดซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำ โดยในแต่ละปีจะมีการเวียนเทียน ๓ ครั้ง คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และ                                                                                          วันอาสาฬหบูชา



















**********************
ประเพณี ปอยหลวง

                                                                  ช่วงเวลา

 

ประเพณีปอยหลวง มักจะจัดขึ้นตั้งแต่เดือน ๕-๘ เหนือ (เดือนกุมภาพันธ์ - เดือนพฤษภาคม) งานนี้จะจัดขึ้นประมาณ ๓-๗ วัน แล้วแต่ฐานะของวัดนั้นๆ

ความสำคัญ

                         ประเพณีปอยหลวง คือ งานฉลองถาวรวัตถุ หรือสิ่งก่อสร้างที่ประชาชนช่วยกันสร้างขึ้นเพื่อถวายวัดและเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะชน เช่น วิหาร ศาลา โรงเรียน หอประชุม เป็นต้น นิยมทำการฉลองครั้งใหญ่หลังจากการก่อสร้างสำเร็จแล้ว ทำเป็นงานใหญ่โตเรียกว่า ปอยหลวง อุทิศสิ่งก่อสร้างเป็นของสงฆ์ และอุทิศบุญกุศลแก่บรรพชนด้วย ถ้าทำส่วนตัวเรียกว่า อุทิศกุศลไว้ภายหน้า หากอุทิศแก่คนตายไปแล้ว เรียกว่าอุทิศไปหาผู้ที่ถึงแก่กรรม

พิธีกรรม

                                      ก่อนวันงาน ๑ วัน จะมีการเตรียมของเรียกว่า วันดา (วันสุกดิบ) วันนี้คณะศรัทธาจะนำของมารวมกันเรียกว่า ฮอมครัว และในวันแรกของงานปอยหลวง จะมีการทานธงแบบต่างๆ ซึ่งเมืองเหนือเรียกว่า ตุง ช่อธงยาวและช่อช้าง จะนำตุงไปปักไว้บนเสาไม้ไผ่หรือไม้ซาง ตลอดแนวสองข้างทางเข้าวัด ตุงจะทำด้วยผ้าแพรหรือผ้าฝ้ายสีต่างๆอย่างสวยงาม ในงานปอยหลวงจะมีการแห่แหนเครื่องไทยทานจากหัววัดต่างๆ ไปร่วมทำบุญด้วยเรียกว่า แห่ครัวทาน ขบวนแห่ครัวทานจะมีช่างฟ้อนสาวรูปร่างสวยงาม แต่งกายแบบพื้นเมือง ฟ้อนนำหน้าครัวทานเข้าวัดด้วย วันสุดท้ายของงานปอยหลวง คณะศรัทธาจะแห่ครัวทาน หรือพุ่มเงินบ้านละต้นหรือหลายบ้านรวมเป็นหนึ่งต้น ครัวทานนี้จะมีการแห่กันตอนเย็น มีขบวนแห่อย่างสนุกสนาน กลางคืนจะมี
พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ มีการสวดสมโภชหรือสวดเบิก และมีการสวดถึงอานิสงส์ของการก่อสร้าง วันรุ่งขึ้นมีการตักบาตร ถวายภัตตาหาร และกล่าวโอกาสเวนทานสิ่งปลูกสร้างขึ้น เสร็จแล้วถวายไทยทานพระสงฆ์ที่มาร่วมพิธี พระให้ศีลให้พรเป็นเสร็จพิธี


****************
ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ (จังหวัด เพชรบูรณ์)



ช่วงเวลา เทศกาลสารทไทยตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐

ความสำคัญ

                       


ประเพณีอุ้มพระดำน้ำเป็นประเพณีที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับอภินิหารของพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองคือพระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งคนหาปลาสองสามีภรรยาทอดแหได้ที่วังเกาะระสารในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักในเขตตัวเมืองเพชรบูรณ์ จึงนำไปไว้ที่วัดไตรภูมิ เมื่อถึงเทศกาลสารทพระพุทธรูปองค์นี้จะหายไปและชาวบ้านจะพบมาเล่นน้ำที่บริเวณที่ค้นพบเดิม ดังนั้นในเทศกาลทำบุญสารทหลังจากทำบุญเสร็จแล้วจะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงริ้วขบวนเรือไปสรงน้ำที่วังเกาะระสาร แต่ปัจจุบันนำมาทำพิธีที่ท่าน้ำของวัดโบสถ์ชนะมารในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐

พิธีกรรม/กิจกรรม
๑. จัดให้มีการตั้งศาลเพียงตาแล้วอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชามาประทับ ทำพิธีสวดคาถา โดยพราหมณ์ผู้ทำพิธีนุ่งขาวห่มขาวแล้วอัญเชิญขึ้นบนบุษบกให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและมีงานฉลองสมโภช
๒. จัดให้มีพิธีอุ้มพระดำน้ำในตอนเช้าหลังทำบุญสารทโดยมีขบวนเรือแห่ นำไปโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อถึงบริเวณวัดโบสถ์ชนะมาร เจ้าเมืองพร้อมข้าราชบริพารจะอุ้มพระลงดำน้ำ โดยหันหน้าองค์พระไปทิศเหนือ ๓ ครั้ง ทิศใต้ ๓ ครั้ง ชาวบ้านจะโปรยข้าวตอก ดอกไม้และข้าวต้มกลีบ เมื่อดำน้ำเสร็จชาวบ้านจะตักน้ำรดศีรษะและรดกันเองเพื่อเป็นสิริมงคล







***************
ผ้าป่าแถว (จังหวัดกำแพงเพชร)

ช่วงเวลา

ในอดีต กระทำเฉพาะในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (วันลอยกระทง) ณ วัดบาง ปัจจุบัน กระทำในวันขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (วันลอยกระทง) ณ วัดบาง และในงานประเพณีนบพระเล่นเพลง ณ วัดพระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร


 ความสำคัญ
                                เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนจะได้ถวายเครื่องนุ่งห่มและไทยธรรม เป็นเครื่องบูชาแด่พระสงฆ์ก่อนจะทำพิธีลอยกระทงบูชาพระพุทธบาทตามคติความเชื่อแต่โบราณ ในอดีต เนื่องจากในเขตชุมชนเมืองกำแพงเพชรมีวัดสำคัญ ๓ วัด คือ วัดบาง วัดคูยาง วัดเสด็จ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดพิธีบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชาวเมืองจึงนัดหมายกันประกอบพิธีบุญใหญ่หมุนเวียนกันไปตามวัดทั้ง ๓ วัด เมื่อกำหนดประกอบพิธีบุญใหญ่ในวัดใด ก็จะนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่นอีก ๒ วัดมาร่วมประกอบพิธีกันในคราวเดียว


พิธีกรรม

                                     ในเวลาเย็นก่อนทำพิธีลอยกระทง ศาสนิกชนทั้งผู้สูงอายุ หนุ่มสาว และเด็ก ในแต่ละครอบครัวจะนำผ้าซึ่งอาจจะเป็นผ้าสบง จีวร หรือ ผ้าเช็ดตัวสีเหลือง และเครื่องไทยธรรมมี ธูป เทียน หอม กระเทียม พริกแห้ง น้ำตาลทราย ไม้ขีดไฟ เป็นต้น จัดบรรจุในชะลอมหรือภาชนะอื่นๆ ไปรวมกันในสถานที่ที่นัดหมายกันไว้กรรมการวัดจะเตรียมกิ่งไม้สดพร้อมใบไม้ปักแสดงตำแหน่งไว้เป็นแถว ๆ ต่างว่าเป็นป่าเมื่อชาวบ้านแขวนผ้าที่นำมาไว้บนกิ่งไม้จึงเรียกว่าผ้าป่าแถว เมื่อได้ตำแหน่งแล้ว เจ้าของผ้าป่าจะไปจับสลากชื่อฉายาของพระสงฆ์ที่จะมาชักผ้าป่าของตนแล้วนำชื่อฉายานั้นมาติดแสดงไว้ที่ผ้าป่า หลังจากนั้นต่างก็จับกลุ่มกันรอเวลาที่พระสงฆ์จะมาส่องไฟหาชื่อฉายาของท่าน ซึ่งกว่าจะพบก็เป็นที่สนุกสนานของเด็กๆ และหนุ่มสาวที่คอยให้กำลังใจแก่พระสงฆ์ เมื่อพบชื่อฉายาของท่านที่กองผ้าป่าใด ท่านก็จะทำพิธีชักผ้าป่า พร้อมกับสวดมนต์ให้พรแก่เจ้าของกองผ้าป่าเป็นเสร็จพิธี